|
|
"พืชปุ๋ยสด"
ก็คือปุ๋ยที่ได้จากการสลายตัวของพืชที่ยังสดหรือยังเขียวอยู่ โดยทั่วไปหมายถึงการปลูกพืชเช่นพืชตระกูลถั่วที่ตรึงธาตุไนโตรเจนจากอากาศมาใช้ได้จนเจริญเติบโตพอแล้วทำให้สลายตัวในดิน
เป็นปุ๋ยให้แก่พืชหลัก
ซึ่งผลิตได้ในไร่นาโดยแรงงาน และธรรมชาติ
การใช้ปุ๋ยพืชสดนั้นได้มีผู้ปฏิบัติกันมาเป็นเวลานานแล้ว โดยมีรายงานว่ามีผู้รู้จักใช้ปุ๋ยพืชสดก่อนสมัยโรมันเรืองอำนาจ
ปัจจุบันการใช้ปุ๋ยพืชสดได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดีในหลายประเทศจนเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย
เช่น ในประเทศจีนถือว่าปุ๋ยพืชสดนั้นเป็น"อาหารธรรมชาติ
สำหรับพืชและดิน"
โดยนิยมใช้ปุ๋ยพืชสดอยู่ 4
ระดับดังต่อไปนี้ คือ
1. ทำการหว่านและไถกลบในแปลงเดียวกัน
2.
เก็บเกี่ยวพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดแล้วนำไปไถกลบในแปลงอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม 3-4
เท่าตัวรากของพืชที่เก็บเกี่ยวไปแล้ว
จะยังคงเหลืออยู่เป็นการคงความอุดมสมบูรณ์ในแปลงเดิมได้บ้าง
3.
ต้นพืชที่ใช้ทำเป็นปุ๋ยพืชสดนำมาผสมกับหญ้าและโคลน แล้วนำมากองทำเป็นปุ๋ยหมัก
ตามมุมแปลง หรือใช้ในบ่อผลิตก๊าซชีวภาพ
4.
ทำการปลูกพืชที่ใช้ทำเป็นปุ๋ยพืชสดร่วมกับการปลูกข้าว เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว
ก็ไถกลบลงไปในแปลง
ในทวีปเอเชียมีหลายประเทศที่เกษตรกรใช้ปุ๋ยพืชสดได้แก่
จีน ไต้หวัน อินเดีย บังคลาเทศ และฟิลิปปินส์ ทั้งแหนแดง และพืชตระกูลถั่ว เช่น
โสนพันธุ์ต่างๆ (Garrityand
Flinn. 1987.)
ความสำคัญและประโยชน์ของพืชปุ๋ยสด ในการปลูกพืชบำรุงดินนั้นเกษตรกรจะได้รับประโยชน์จากพืชปุ๋ยสดที่เหมาะสมซึ่งกล่าวโดยสรุปได้ดังต่อไปนี้
1.
เพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดินในการไถกลบพืชปุ๋ยสด
โดยเฉพาะดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขาดอินทรียวัตถุมาก
และเป็นการชดเชยอินทรียวัตถุในดินที่สูญเสียไป เนื่องจากการเพาะปลูก
ซึ่งขาดอินทรียวัตถุมาก
และเป็นการชดเชยอินทรียวัตถุในดินที่สูญเสียไป เนื่องจากการเพาะปลูก
2.
ช่วยเพิ่มธาตุอาหารไนโตรเจนแก่ดิน
โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่วซึ่งมีจุลินทรีย์ประเภทแบคทีเรีย Rhizobium
spp. อาศัยอยู่ในปมรากซึ่งสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศมาได้
เมื่อไถกลบพืชพวกนี้ลงไปในดินก็จะได้ธาตุไนโตรเจนค่อนข้างสูง
3.
ช่วยในการอนุรักษ์ธาตุอาหารในดิน พืชที่ปลูกเป็นพืชปุ๋ยสด
จะดูดกินหรือใช้ประโยชน์จากปุ๋ย ซึ่งตกค้างจากการใส่ให้พืชเศรษฐกิจอันเป็นพืชหลัก
เป็นการป้องกันการสูญเสียธาตุอาหารไม่ให้
ถูกชะล้างไปนอกจากนั้นในพืชตระกูลถั่วที่มีระบบรากลึกก็สามารถดูดดึงธาตุอาหารที่อยู่ในดินชั้นล่างขึ้นมาในลำต้น
กิ่งก้าน และใบได้ เมื่อทำการไถกลบพืชปุ๋ยสด
และสลายตัวแล้วธาตุอาหารเหล่านั้นก็จะตกอยู่
ในดินชั้นบนเป็นประโยชน์แก่พืชเศรษฐกิจอันเป็นพืชหลักต่อไป
4.
ช่วยในการอนุรักษ์ดินและน้ำ ป้องกันการชะล้างพังทลาย
การไหลบ่าของหน้าดินอันเนื่องมาจากน้ำและลมซึ่งจะทำให้หน้าดินอันมีความอุดมสมบูรณ์กว่าดินชั้นล่างสูญเสียไป
โดยเฉพาะพืชปุ๋ยสดประเภทเป็นพืชคลุมดินจะช่วยป้องกันได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันวัชพืชที่ไม่ต้องการขึ้นมาแซมพืชหลักได้อันทำให้ไม่เปลืองแรงงานในการกำจัดวัชพืชเหล่านั้นต่อไป
5.
ประโยชน์อื่น ๆ การปลูกพืชปุ๋ยสด ยังช่วยให้คุณภาพของพืชหลักหรือพืชเศรษฐกิจดีขึ้น
เช่น โปรตีนในข้าวโพดเพิ่มขึ้นเส้นใยฝ้ายดีขึ้นและสามารถช่วยลดปัญหาดินเค็มลงได้
หากได้มีการปลูกพืชบำรุงดินบางชนิดที่ขึ้นได้ในดินเค็มอย่างสม่ำเสมอติดต่อกัน
การใช้ประโยชน์พืชปุ๋ยสด พืชปุ๋ยสดที่นิยมใช้กันมากและแพร่หลายในประเทศไทยนั้น
ได้แก่พืชตระกูลถั่วเนื่องจากเป็นพืชที่ส่วนมากขึ้นได้ดีในดินทั่ว ๆ ไป
ใช้ธาตุอาหารในดินน้อย
และทนแล้งได้ดี
บางชนิดยังสามารถทนต่อดินเค็มได้อีกด้วยจึงใช้ประโยชน์เป็นพืชปุ๋ยสดไถกลบในดินเค็ม
โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีปริมาณพื้นที่ดินเค็มมาก
ที่สำคัญคือพืชปุ๋ยสดประเภทพืชตระกูลถั่ว สามารถจัดเข้าในระบบพืชปลูก (cropping
system) ได้ดี
ซึ่งเหมาะแก่การทำการเกษตรในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งกล่าวโดยทั่วไป
อาจใช้ประโยชน์จากพืชปุ๋ยสดได้ลักษณะดังต่อไปนี้
ก.
ใช้ในระบบปลูกพืชหมุนเวียน (crop rotation) ในระบบปลูกพืชหมุนเวียนนั้นอาจใช้ได้ในกรณีใดกรณีหนึ่งแล้วแต่สภาพและความเหมาะสมของพื้นที่และภูมิอากาศ
คือ
1. ในช่วงเวลาหนึ่งปี
ปลูกพืชเศรษฐกิจอันเป็นพืชหลักชนิดหนึ่งสลับกับพืชบำรุงดินชนิดหนึ่ง
โดยปลูกพืชหลักในต้นฤดูฝนสลับกับพืชบำรุงดินในปลายฤดูฝน
หรือปลูกพืชบำรุงดินในต้นฤดูฝนแล้วปลูกพืชหลักปลายฤดูฝนเช่น
ปลูกถั่วลิสงเป็นพืชหลักในต้นฤดูฝนแล้วปลูกถั่วพุ่ม ถั่วเขียว ถั่วแปป
ถั่วแปยีหรือถั่วอื่นๆ ตามในปลายฤดูฝน หรือปลูกปอเทือง
โสน ถั่วเขียว หรือถั่วอื่น ๆ
ในต้นฤดูฝน แล้วปลูกพืชหลักปลายฤดูฝน เช่น ข้าวโพด และพืชไร่อื่นๆ
2.
ในช่วงเวลาสองปีปลูกพืชหลักหนึ่งชนิดสลับกับพืชบำรุงดินหนึ่งชนิดกรณีเช่นนี้พืชบำรุงดินที่นำมาปลูกนั้นส่วนมากจะเป็นพืชคลุมดิน
โดยปลูกพืชหลักในปีหนึ่งและพืชปุ๋ยสด
ในปีที่สองสลับกันไปเป็นระบบที่ใช้กับพื้นที่ที่ความลาดเท
เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลาย เช่น ปลูกถั่วแปปสลับกับถั่วแดงหลวง เป็นต้น
ข.
ระบบปลูกพืชแซม (intercropping) เป็นการปลูกพืชปุ๋ยสดแซมในแถวพืชหลัก โดยปลูก
ในเวลาเดียวกันหรือเหลื่อมเวลากันในพื้นที่เดียวกันในหนึ่งปี
โดยมีหลักเกณฑ์ว่าพืชหลักและพืชปุ๋ยสดต้องสามารถอยู่ด้วยกันได้ไม่เป็นปฎิปักษ์ต่อกัน เช่น ปลูกโสน ปอเทือง ถั่วเหลือง
หรือถั่วเขียว แซมในแถวข้าวโพดซึ่งเป็นพืชหลัก เป็นต้น
ค.
ระบบปลูกพืชแบบแถบพืช (strip cropping) เป็นการปลูกพืชหลายๆ ชนิดในเวลาเดียวกัน
ในแปลงเดียวกันโดยแบ่งเป็นแต่ละแถบของพืชแต่ละชนิดสลับกันไปเรื่อย ๆ เช่นเป็นแถบ
ข้าวโพด จำนวน 5 แถว ต่่อมาปลูกกระถินริมรั้วเป็นแนวแบ่งเขตกว้างประมาณ 1.50 เมตร
ต่อมาเป็นแถบ ปอเทือง 5 แถว เป็นพืชปุ๋ยสดแล้วกั้นด้วยรั้วกระถินอีก
ต่อมาเป็นแถบถั่วเหลืองใช้ความกว้างเท่ากันกับปอเทืองและข้าวโพด
แล้วกั้นด้วยรั้วกระถินอีกเช่นนี้ต่อไปจนกว่าจะหมดชนิดของพืชที่เราปลูกแล้วจึงย้อนกลับมาเริ่มต้นข้าวโพดใหม่อีก
เป็นต้น การปลูกพืชแบบนี้ก็จะมีโอกาสได้ทำการบำรุงดินโดยพืชปุ๋ยสดได้ในเวลาเดียวกัน
มักใช้ระบบปลูกพืชแบบนี้ในแถบที่มีความลาดเท โดยปลูกตามแนวเส้นระดับ
มักพบในแถบภาคเหนือของประเทศไทย
ง.
ระบบปลูกพืชแบบพืชคลุมดิน (cover crops) พืชปุ๋ยสดในระบบปลูกพืชแบบนี้ มักเป็นพืช
ปุ๋ยสดตระกูลถั่วประเภทพืชคลุมดินเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายสูญเสียหน้าดิน
มักนิยมใช้ใน
สวนผลไม้ สวนปาล์มน้ำมัน
และสวนยางพาราในแถบภาคใต้
โดยที่เมื่อไม้ยืนต้นอันเป็นพืชหลักยังต้นเล็กอยู่ก็นำเอาเมล็ดพืชคลุมดินไปหว่านเพื่อป้องกันการชะล้างหน้าดิน
และป้องกันกำจัดวัชพืชมิให้ขึ้นอีกด้วย
เช่น ปลูกพืชคลุม คุดซู คาร์โลโปโกเนียม ไมยราบไร้หนาม ถั่วลาย เป็นต้น ในแปลงไม้ยืนต้น
ดังกล่าว